16 ข้อควรรู้ "ไวรัสมาร์บวร์ก" อันตรายแค่ไหน ประชาชนควรกังวลหรือไม่

16 ข้อควรรู้ "ไวรัสมาร์บวร์ก" อันตรายแค่ไหน ประชาชนควรกังวลหรือไม่

ศูนย์จีโนมฯ รพ.รามาธิบดี เผย "ไวรัสมาร์บวร์ก" มีระยะฟักตัว 2-12 วัน หากติดเชื้อในพื้นที่ห่างไกล อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 90% ชี้ยังไม่มียา หรือวัคซีนรักษา

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 แฟนเพซเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับไวรัสมาร์บวร์ก ระบุว่า

1. ไวรัสมาร์บวร์กเป็นไวรัสประเภทใด อันตรายแต่ไหน ควรกังวลหรือไม่

ไวรัสมาร์บวร์กเป็นอาร์เอ็นเอไวรัส รูปร่างเป็นแท่งสายยาวคล้ายถั่วงอก มีจีโนมขนาด 19,000 bp ประกอบด้วย 7 ยีนสำคัญ 3′-UTR-NP-VP35-VP40-GP1-GP2-VP30-VP24-L-5′-UTR มีขนาดเล็กกว่าไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นทรงกลมคล้ายผลทุเรียน มีจีโนมขนาด 30,000 bp ประกอบด้วย 13-15 ยีน

มีการติดเชื้อได้ง่าย จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง จากผู้ติดเชื้อ แต่โคโรนา 2019 แพร่เชื้อได้ดีกว่าเพราะสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์ก มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 88% อยู่ในตระกูล "ฟิโลวิริแด (Filoviridae)" เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลา ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ไวรัสมาร์บวร์ก ทำให้เกิดไข้เลือดออกรุนแรงในมนุษย์ และลิงหลายประเภท เป็นโรคที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต

  • ไวรัสมาร์บวร์ก มีระยะฟักตัว 2-12 วัน หากติดเชื้อในพื้นที่ห่างไกล ที่ขาดอุปกรณ์ในการรักษา อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 90% หากมีการติดเชื้อรุนแรง มักเสียชีวิตวันที่ 8 หรือวันที่ 9 หลังจากมีอาการ เนื่องจากการเสียเลือด และตกเลือดภายในอย่างรุนแรง อวัยวะหลายส่วนเกิดการทำงานล้มเหลว
  • สามารถแสดงอาการอย่าง "ฉับพลัน" เริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ไม่สบายตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และเป็นตะคริว โดยอาจรวมถึงดีซ่าน คลื่นไส้ ปวดท้อง และท้องเสีย จากนั้นอาจพบผื่น ที่ไม่มีอาการปรากฏบริเวณหน้าอก หลัง หรือท้องในวันที่ 5
  • การวินิจฉัยโรคมาร์บวร์ก ในระยะแรกจากอาการ "เป็นเรื่องยาก" เนื่องจากมีอาการหลายอย่างคล้ายกับโรคติดเชื้อประเภทอื่น เช่น มาลาเรีย ไข้ไทฟอยด์ และอีโบลา ปัจจุบันสามารถตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติ ยืนยันการติดเชื้อได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็วด้วยเทคนิค RT-PCR
  • ยังไม่มีวัคซีน หรือยาต้านไวรัส ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กเป็นการเฉพาะ ดังนั้น เมื่อพบผู้ติดเชื้อ จึงต้องรีบแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชน เช่น แยกไปรักษาที่เต็นท์สนาม เพื่อมิให้แพร่เชื้อต่อผู้อื่น
  • การรักษาเป็นแบบประคับประคองตามอาการ อันสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ เช่น การให้น้ำกลับคืนด้วยสารน้ำทางปากหรือทางหลอดเลือดดำ การรักษาระดับออกซิเจน การใช้ยาบำบัดตามอาการที่เกิดขึ้น
  • องค์การอนามัยโลกบรรยายลักษณะการติดเชื้อที่รุนแรงหลังวันที่ 5 ของผู้ป่วยติดเชื้อมีลักษณะคล้ายผี (Ghost-like) ด้วยลักษณะดวงตากลวงลึก(เนื่องจากเสียน้ำ) ใบหน้าซีด (เนื่องจากเสียเลือด) ไร้ความรู้สึก มีอาการหมดเรี่ยวแรงและง่วงนอนตลอดเวลา

2. ไวรัสมาร์บวร์กพบครั้งแรกเมื่อไร

ไวรัสถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2510 หรือเมื่อ 56 ปีมาแล้ว โดยเกิดการระบาดในหมู่พนักงานห้องแล็บชีวภาพ ในเมืองมาร์บวร์ก ประเทศเยอรมัน โดยมีการติดเชื้อไวรัสจากลิงเขียวแอฟริกัน (African green monkey) ซึ่งนำเข้ามาจากยูกันดา เชื่อว่าไวรัสมาร์บวร์กอุบัติขึ้น และแพร่ระบาดในลิงมานานแล้ว ตามธรรมชาติ

3. ไวรัสมาร์บวร์กเป็นดีเอ็นเอ หรืออาร์เอ็นเอไวรัส

ไวรัสมาร์บวร์ก เป็นไวรัสอาร์เอ็นเอสายเนกาทีฟ มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการกลายพันธุ์ ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัส เนื่องจากเอนไซม์ของไวรัสมาร์บวร์ก ควบคุมการสร้างสายจีโนมของไวรัสรุ่นลูกและรุ่นหลานหละหลวม การมีอัตราการกลายพันธุ์สูง ส่งผลให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์ เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เมื่อเวลาผ่านไป

อัตราการกลายพันธุ์ที่สูงขึ้นนี้ อาจทำให้การพัฒนาวัคซีน ที่มีประสิทธิภาพยากลำบาก เนื่องจากพัฒนา และผลิตวัคซีนตามการกลายพันธุ์ของไวรัสไม่ทัน

ไวรัสมาร์บวร์กในฐานะที่เป็นอาร์เอ็นเอไวรัส จะมีอัตราการกลายพันธุ์ ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเริม หรือไวรัสฮิวแมนแพปิโลมา ที่ติดต่อในมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเปรียบเทียบอัตราการกลายพันธุ์ ระหว่างไวรัสมาร์บวร์ก กับไวรัสโคโรนา 2019 ได้โดยตรง เนื่องจากเป็นไวรัสที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน

4. ไวรัสมาร์บวร์กแพร่ติดต่ออย่างไร

ไวรัสติดต่อสู่มนุษย์ ผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกายของสัตว์เลือดอุ่นที่ติดเชื้อ เช่น ค้างคาว ลิง หมู ฯลฯ หรือระหว่างคนสู่คน จากการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสยังสามารถติดต่อมาสู่คน ผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่นถุงมือ หรือเครื่องนอน

5. การรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก ดำเนินการอย่างไร

ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และยารักษาเป็นการเฉพาะ มีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อสูงถึง 88% การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และการเปลี่ยนอิเล็กโทรไลต์ ตลอดจนการจัดการกับภาวะแทรกซ้อนใดๆ ที่เกิดขึ้น

6. ป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กอย่างไร

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ หรือคนที่ติดเชื้อ บุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องสัมผัสผู้ติดเชื้อ ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างครบถ้วน เช่น ถุงมือ หน้ากาก แว่นตา และชุดคลุม อย่างรัดกุม

7. อาวุธชีวภาพ

เนื่องจากไวรัสมาร์บวร์ก ก่อให้เกิดการเสียชีวิตสูงในอัตราสูง และแพร่เชื้อจากคนสู่คนง่ายดายทางศูนย์ควบคุม และป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) จึงจัดให้ไวรัสมาร์บวร์ก อยู่ในการควบคุม เพราะสามารถถูกใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ (bioterrorism agent) ถือเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สำคัญ

8. มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในมนุษย์ เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตาม มีวัคซีนหลายประเภทที่อยู่ในช่วงการพัฒนา และทดสอบกับเซลล์ในห้องทดลอง หรือในสัตว์ เช่น วัคซีนเชื้อตาย วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA)

แม้ว่าวัคซีนเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็น ถึงแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติม เพื่อแสดงให้เห็นชัดเจน ถึงความปลอดภัย และประสิทธิภาพ ในการใช้ในมนุษย์

9. มียาต้านไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่

ปัจจุบันไม่มียาต้านไวรัส ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยเฉพาะสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตาม มียาต้านไวรัสหลายตัว ที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสมาร์บวร์ก ในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

หนึ่งในยาต้านไวรัส ที่อาจมาใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กคือยา "เรมเดซิเวียร์" ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของอาร์เอ็นเอไวรัส เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้ง ไวรัสอีโบลา ในการศึกษากับเซลล์ ในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสได้หลายประเภท (broad spectrum) เช่น ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ และไวรัสโคโรนา 2019 ในบางประเทศ พบว่าฟาวิพิราเวียร์ สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวน ของไวรัสมาร์บวร์กในหลอดทดลองได้

นอกจากนี้ โมโนโคลนอลแอนติบอดี ยังแสดงให้เห็นว่า เป็นทางเลือกในการรักษา สำหรับการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก โมโนโคลนอลแอนติบอดี เป็นสารชีวโมเลกุล ที่ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการ เลียนแบบความสามารถของแอนติบอดี ที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้น เพื่อต่อสู้กับไวรัสตามธรรมชาติ

โดยจะเข้าจับกับโปรตีนส่วนหนามของไวรัส อย่างเฉพาะเจาะจง โมโนโคลนอลแอนติบอดีหลายตัว ได้รับการพัฒนาขึ้นต่อเป้าหมายสำคัญของไวรัสมาร์บวร์ก โดยแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งไวรัสเพิ่มจำนวนในเซลล์ในหลอดทดลอง และในสัตว์ทดลอง

10. เกิดการแพร่ระบาด ของไวรัสมาร์บวร์กในงานศพ เกิดได้อย่างไร

ในอดีตมีการระบาดหลายครั้งของไวรัสมาร์บวร์ก ซึ่งเชื่อมโยงกับพิธีกรรมงานศพในแอฟริกา คาดว่าไวรัสนี้ ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลว ในร่างกายของผู้เสียชีวิต อาทิ เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ในระหว่างพิธีกรรมงานศพตามประเพณี ผู้ร่วมไว้อาลัยอาจสัมผัสใกล้ชิด กับร่างของผู้เสียชีวิต ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัส

11. การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสมาร์บวร์กทั้งจีโนมจะมีประโยชน์หรือไม่

การถอดรหัสจีโนมทั้งหมดของไวรัสมาร์บวร์ก สามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ได้แก่

  • ช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการระบาด ได้ทันต่อเหตุการณ์
  • บ่งชี้ยีน และโปรตีนเป้าหมาย ที่เราควรพัฒนายาเข้ามายับยั้ง เพื่อยุติการแพร่กระจาย ของไวรัสมาร์บวร์ก
  • ให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า เกี่ยวกับชีววิทยาของไวรัส และการมีปฏิสัมพันธ์กับโฮสต์ (มนุษย์) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาวิธีการรักษา และการป้องกันแบบใหม่

12. การตรวจไวรัสมาร์บวร์กในแหล่งน้ำเสีย มีประโยชน์อย่างไร

การตรวจหาไวรัสมาร์บวร์ก จากน้ำเสียใกล้ชุมชน สามารถใช้เตือนล่วงหน้าถึงการระบาด หรือการปรากฏตัวของผู้ติดเชื้อภายในชุมชน แม้กระทั่งก่อนที่พวกเขาจะแสดงอาการ หรือเจ็บป่วยต้องพบแพทย์และเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

ในกรณีของไวรัสมาร์บวร์กมีการพิสูจน์แล้วว่า ไวรัสสามารถปะปนออกมาในอุจจาระ และปัสสาวะของผู้ติดเชื้อ โดยตรวจพบอนุภาคของไวรัสเหล่านี้ในตัวอย่างน้ำเสีย ตัวอย่างเหล่านี้จะถูกตรวจกรอง ด้วยวิธีการทางชีวโมเลกุล เช่น RT-PCR หรือ LAMP เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส รวมทั้งการถอดรหัสพันธุกรรม บางส่วนของจีโนม เพื่อบ่งชี้สายพันธุ์

13. ไวรัสมาร์บวร์ก สามารถแพร่ติดต่อทางอากาศ (airborne) ได้หรือไม่

ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสมาร์บวร์ก สามารถแพร่ผ่านทางอากาศได้ ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้ติดเชื้อ เช่น เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับพื้นผิว หรือวัตถุที่ปนเปื้อน เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์หรือเครื่องนอน

14. ไวรัสมาร์บวร์กมีค่า R-naught เท่าไร

R₀ (อ่านว่า "R-naught") เป็นคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์ ที่ใช้อธิบายจำนวนเฉลี่ยของคนที่จะติดโรคจากผู้ติดเชื้อ 1 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค
ค่าที่แน่นอนของ R₀ สำหรับไวรัสมาร์บวร์ก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่า R₀ ของไวรัสมาร์บวร์ก น่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1.5-3.5 ซึ่งหมายความว่า ผู้ติดเชื้อแต่ละคนมีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นระหว่าง 1.5 ถึง 3.5 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

15. ใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ช่วยตรวจสอบการแพร่ระบาด ของไวรัสได้หรือไม่

โซเชียลมีเดีย อาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตาม และตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อ รวมถึงไวรัสมาร์บวร์ก บุคคลมักจะใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสุขภาพ และอาการใดๆ ที่พวกเขากำลังประสบอยู่

หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถใช้ข้อมูลนี้ เพื่อตรวจหาการระบาด ที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อเป็นแนวทางในการตอบสนอง

ตัวอย่างการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Twitter และ Facebook ในอดีตเพื่อติดตามการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อ เช่น ไวรัสซิกา และไวรัสอีโบลา นักวิจัยได้ใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดีย เพื่อติดตามการแพร่กระจาย ทางภูมิศาสตร์ของไวรัส เพื่อระบุกลุ่มประชากร ที่มีความเสี่ยง และเพื่อตรวจหาการระบาดที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะแพร่ระบาด

16 ทำไมไวรัสนี้ จึงตั้งชื่อตามเมืองในเยอรมนี

ไวรัสมาร์บวร์ก ได้รับการตั้งชื่อตามเมืองมาร์บวร์ก ในเยอรมนี เนื่องจากพบการระบาดครั้งแรกในเมืองนี้เมื่อปี 2510 จากบรรดาเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ดูแลลิงเขียวจากแอฟริกัน จำนวน 31 ราย และ 7 รายในจำนวนนี้เสียชีวิต

โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 23% เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลาที่ได้รับการตั้งชื่อตามแม่น้ำอีโบลา ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเป็นที่ที่พบไวรัสเป็นครั้งแรก ในทำนองเดียวกันไวรัสซิกาได้รับการตั้งชื่อตามป่าซิกาในยูกันดา ซึ่งเป็นที่ที่แยกไวรัสได้เป็นครั้งแรก.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics

คุณกำลังดู: 16 ข้อควรรู้ "ไวรัสมาร์บวร์ก" อันตรายแค่ไหน ประชาชนควรกังวลหรือไม่

หมวดหมู่: สังคม

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด