เห็นใจกันบ้าง พี่ชายทุกข์หนัก ปมหมอขับรถชนน้องชายเสียชีวิต 3 เดือนคดีไม่คืบ

เห็นใจกันบ้าง พี่ชายทุกข์หนัก ปมหมอขับรถชนน้องชายเสียชีวิต  3 เดือนคดีไม่คืบ

เปิดปากภาคภูมิ พี่ชายทุกข์ใจ ร้องขอความเป็นธรรม น้องชายถูกหมอชนเสียชีวิต ร้องเยียวยา 6 ล้าน แต่คู่กรณีไม่ให้ บอกมากเกินไป ด้านคดีตำรวจเพิ่งแจ้งข้อหา หลังผ่านมา 3 เดือน

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 14 มีนาคม 2566 ในรายการ"เปิดปากกับภาคภูมิ"ทางไทยรัฐทีวีช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ปมพี่ชายร้องขอความเป็นธรรม น้องชายถูกหมอชนดับ จ่าย 55,000 บาท แล้วหาย ผ่านมา 3 เดือนสุดท้ายคดีไม่คืบ

นายเอกรัฐ ปรีจินดา พี่ชายผู้เสียชีวิต เผยว่า เกิดเหตุเมื่อ 26 ธ.ค. 65 ก่อนที่จะไปฉลองปีใหม่กัน วันนั้นลูกของน้องชายป่วย เขาจึงยืมรถมอเตอร์ไซค์ของลูกน้องไปซื้อยาให้ลูก ขากลับห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตร น้องก็เจอรถเฉี่ยวชนบาดเจ็บสาหัส จนสุดท้ายก็เสียชีวิต ไม่ได้ไปตัดหน้า หรือเป็นมุมอับ บังสายตาแต่อย่างใด ตนรู้ข่าวว่าน้องโดนปั๊มหัวใจประมาณ 4 ทุ่ม ตอนที่ยังอยู่กรุงเทพฯ จึงรีบพาภรรยามาหา จนประมาณเที่ยงคืนของวันนั้น ทางญาติก็แจ้งว่าน้องไม่ไหวแล้ว พอตอนเช้าไปถึง ตนก็ไม่ทันได้ดูใจแล้ว

ในทางคดี เขาบอกว่า คุณหมอประมาทเป็นเหตุให้น้องเสียชีวิต ตนก็อยากให้ตำรวจสอบต่อว่าประมาทยังไง เพราะถามคนแถวนั้น เขาบอกว่าคุณหมอลงรถมา แล้วบอกว่า "ขอโทษพอดีก้มหยิบโทรศัพท์ เงยขึ้นมาไม่ทันก็ได้มองก็ชน" ตอนนั้นหลังจากเสร็จงานศพน้อง ตนเองก็พยายามตามหากล้องแถวนั้น จนได้ภาพจากกล้องวงจรปิดมา เพื่อเป็นหลักฐานกันไว้ก่อน เผื่อคดีมีปัญหาซึ่งยังไม่ได้เจอตำรวจเลยในตอนนั้น

ด้านนายปิยณัฐ สุกยัง หรือทนายเจ เลขาธิการเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีประมาท ไม่ใช้เรื่องของการเจตนา ดังนั้นก็ต้องดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร เป็นเพราะหยิบโทรศัพท์อย่างเดียวหรือเมาด้วย ซึ่งทางญาติผู้เสียชีวิต เขาติดใจเรื่องผลการตรวจแอลกอฮอล์ เพราะได้รับแจ้งว่าตรวจแล้ว แต่ยังไม่เห็นทราบผลออกมาเลย

นายเอกรัฐ ปรีจินดากล่าวต่อว่า ในช่วงที่ยุ่งกับงานศพน้อง ตนก็โทรติดต่อไปทางตำรวจ เขาบอกให้มานัดไกล่เกลี่ยกันหลังจากจบงานศพ เมื่อวันที่ 12-13 ม.ค. 66 ในตอนนั้นไม่ทราบเลยว่าเขาดำเนินการเรื่องคดีอาญาอย่างไร ตอนที่เกิดเหตุก็ไม่รู้ว่าเป็นข้อหาอะไร ญาติบอกว่าไม่เห็นมีการตรวจแอลกอฮอล์ เห็นแค่ตอนที่คุณหมอไปยกมือไหว้ขอโทษแล้วก็กลับบ้านไป จากนั้นก็มีจ่ายเงินช่วยในงาน 5,000 บาท และช่วยในระหว่างที่จัดงานอีก 50,000 บาท

ในงานศพคุณหมอไม่เคยมา มีแค่แม่ของเขามาเท่านั้น หลังจากเสร็จงานกดโทรไปติดต่อกับ สภ.เมืองตรัง เขาก็มีการนัดวันที่ 13 ม.ค. 66 ให้เคลียร์กัน วันที่คุยก็มีคุณหมอ และพ่อแม่ของเขา ทางตำรวจแจ้งว่า เขายอมรับว่าประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ทางครอบครัวของตนจึงขอเรียกเงินชดเชยเยียวยา 6 ล้านบาท โดยคำนวณจากรายได้ของน้องชายอายุ 30 ปี มี 20,000 บาท ไปจนถึงอายุ 60 ปี ทางนั้นเขาก็ขอเก็บไปพิจารณา พอเดินออกมาทางแม่เขาก็เดินมาถามว่า 6 ล้านลดได้ไหม ตนก็บอกว่าได้ ให้เขาเก็บไปพิจารณาได้เลย แต่ต่อมาตอนนัดเจอกันครั้งที่ 2 เขากลับบอกว่าไม่มีให้ อยากได้ให้ไปฟ้องเอา

ด้านคุณแม่ของคู่กรณี เล่าว่า ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ตนเองไปอยู่ที่โรงพยาบาลหลังจากเกิดเหตุทันที เห็นว่ายังเขาไม่ฟื้น จึงจ่ายเงินไป 5,000 บาทไป เพราะสงสารเมียเขา ก่อนจะพากันกลับบ้าน เพราะเห็นว่าอยู่ในมือหมอแล้ว

วันถัดมาก็โทรถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมียเขาบอกว่าเสียแล้ว จึงไปร่วมงานศพ และให้เงินกับทางครอบครัวไป 5,000 ก่อนจะจ่ายอีก 50,000 บาท เพราะมีคนมาบอกว่าเขาไม่มีเงินค่าทำศพ รวมจ่ายเป็นเงิน 60,000 บาท

พอได้คุยกันเขาเรียกร้องเป็นเงิน 6 ล้านบาท ไม่ยอมลด ก็ไม่มีเงินให้ เพราะตนไม่ได้ทำงานเลย มีแค่คุณหมอ แล้วทุกวันนี้คุณหมอลาออกจากราชการ ทำงานเป็นหมอที่เอกชน และยืนยันไม่เคยพูด ท้าให้คู่กรณีไปฟ้องเลยถ้าอยากได้เงิน บอกแค่ว่า ให้เรื่องนี้ไปคุยกับที่ศาล ไม่เคยทำแบบนั้น เพราะสงสารเขามาก ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องแบบนี้ ส่วนคุณหมอก็ไม่คิดว่าเขาจะเสียชีวิต

ในวันนั้นคุณหมอเขาไปนอนบ้านที่ตรัง ตนคิดว่าเขาไม่ได้สวมแว่น จึงตาไม่ดี พอถึงคราวเคราะห์ ก็ชนเสียชีวิตเลย ซึ่งลูกชายเล่าให้ฟัง ว่าไม่ได้ก้มเก็บอะไรเลย บอกว่ามองไม่เห็นขับไปดีๆ แล้วก็ชน ในตอนนั้นตำรวจตรวจแอลกอฮอล์เรียบร้อย เป็นไปไม่ได้ที่ไม่ได้ตำรวจจะไม่ตรวจ ผลออกมาก็ไม่ขึ้น

ส่วนเหตุผลที่ให้ลูกชายรับผิด จำเป็นต้องรับ เพราะสงสารให้ พ.ร.บ.จ่ายเงินเยียวยาให้ลูกคนตายก่อน 5 แสนบาท แต่ถ้าให้จ่าย 6 ล้านตนก็ไม่มี เพราะมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ได้เป็นเจตนาเลย ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้ทำอาชีพหมอ เขาก็คงไม่ได้เรียกร้องเงิน 6 ล้านบาทหรอก ไม่มีใครรู้อนาคต แล้วทำไมถึงต้องคำนวณเงินถึง 60 ปี ตนคิดว่ามันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันห่างเหินกันมากจากที่ตนจะให้

ด้าน นายปิยณัฐ สุกยังกล่าวว่า ตนเองยืนยันว่า พูดให้แม่ไปพิจารณาดูก่อนได้ ไม่ใช่บอกว่าจะไม่ลด ให้เป็นรายเดือนเพื่อช่วยเหลือก็ได้ ซึ่งในใจตนขอลดประมาณ 3 ล้าน เพื่อให้ลูกกับเมียเขาไปทำธุรกิจสักอย่าง เพื่อเป็นเงินตั้งต้น

คุณแม่ของคู่กรณี กล่าวว่า ต้องปรึกษากับคุณหมอก่อนว่าจะเอาอย่างไร เพราะตนตัดสินใจเองไม่ได้ เนื่องจากตนเองไม่มีเงินเดือนเลย แต่จะคุยกันอีกครั้งประมาณวันที่ 16 ม.ค. 66 ที่สภ.เมืองตรัง

นายเอกรัฐ ปรีจินดา จึงกล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าคุณคิดว่า 6 ล้านมันเยอะไป คุณมีลูก 2 คนเหมือนกัน คุณลองคำนวณสิ ว่าลูก 2 คนของคุณจบปริญญาตรีได้ ต้องใช้เงินเท่าไร แล้วหลานตน 2 คนไม่มีสิทธิ์จบปริญญาตรี ไม่มีสิทธิ์จบครู จบหมอเหมือนลูกคุณเหรอ

เขามีสิทธิ์เหมือนกัน แต่คุณไปพรากอนาคตเขาไป พรากคนที่จะทำให้อนาคตโตขึ้น หากอนาคตเขามีพ่อเขาอาจจะไปได้ดีกว่าหมอก็ได้ ถ้า 6 ล้านส่งหลานตนจบได้ คุณคิดว่ามันดีกว่ามั้ย แต่ถ้าคุณบอกว่าอยากได้เท่านี้ อยากจ่ายแสนนึง อยากจ่ายล้านนึง ผมไม่เอาก็ได้เงินตรงนั้น คุณไปเอาเงินแสนกับล้านคุณ ไปปลุกน้องผมคืนมาให้ได้ไหม

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดเผยล่าสุดว่า ได้แจ้งข้อหาเรื่องประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตกับคู่กรณีแล้ว เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 66 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สามารถติดตามรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" พร้อมกันได้ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.

คุณกำลังดู: เห็นใจกันบ้าง พี่ชายทุกข์หนัก ปมหมอขับรถชนน้องชายเสียชีวิต 3 เดือนคดีไม่คืบ

หมวดหมู่: สังคม

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด