หลักสูตร วทน.2 เปิด 5 รายงานวิชาการ เสนอแนวทางแก้ปัญหาระดับประเทศ

หลักสูตร วทน.2 เปิด 5 รายงานวิชาการเพื่อประโยชน์สาธารณะ เสนอแนวทางแก้ปัญหาระดับประเทศ ใช้กฎหมายขับเคลื่อนสังคมให้หลุดพ้นข้อจำกัดต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอบรมหลักสูตรการบริหารเชิงนิติศาสตร์ระดับสูง รุ่นที่ 2 (วทน.2) วิทยาลัยทนายความ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 66 ที่ผ่านมา มีการนำเสนอบทความทางวิชาการเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้เข้าอบรม 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่ม 1 กริฟฟิน นำเสนอหัวข้อเรื่องกฎหมายกับการพัฒนาSmart Cityโดยมี ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ศ.จรัญ ภักดีธนากุล นายนันทน อินทนนท์ และ ผศ.ณชัชชญา ทองจันทร์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา กลุ่ม 2 ฟีนิกซ์ นำเสนอหัวข้อเรื่องการส่งต่อผู้กระทำความผิดภายหลังพ้นโทษ (คืนคนดีสู่สังคม) โดยมี นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ศ.จรัญ ภักดีธนากุล ร.ท.ดร.ธนกฤษฎ์ เอกโยคยะ น.ส.ณปภัช นธกิจไพศาล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
กลุ่ม 3 ยูนิคอร์น
นำเสนอหัวข้อเรื่องปัญหาการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยมี รศ.สุเมธ
จานประดับ ผศ.สาธิน สุนทรพันธุ์ ผศ.ณชัชชญา ทองจันทร์ ดร.ธนสาร
จองพานิช เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา กลุ่ม 4 พีกาซัส นำเสนอหัวข้อเรื่อง
การแสวงหาพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ในชั้นพนักงานสอบสวน โดยมี
รศ.ณัฐพงศ์ โปษกะบุตร นายสราวุธ เบญจกุล ดร.ภูวิชชชญา เหลืองธีรกุล
ดร.ปวีณา เอี่ยมศิริกุลมิตร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา กลุ่ม 5 สฟริงซ์
นำเสนอหัวข้อเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย โดยมี รศ.ดร.ประสาน
บุญโสภาคย์ นายประภาศ คงเอียด นายธีรศักดิ์ เงยวิจิตร น.ส.ณปภัช
นธกิจไพศาล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

โดยหัวข้อเรื่องกฎหมายกับการพัฒนาSmart Cityมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ
จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสภาพสังคมของประเทศไทยในปัจจุบัน
มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่ในพื้นที่รอบเมืองบางส่วนกลายเป็นเมืองที่ใช้ในการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพื้นที่สู่การกลายเป็นเมืองจนมีการผลักดันนโยบายSmart
Cityให้เป็นกลไกที่สามารถสร้างโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
โดยปัจจุบันประเทศไทยมีหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ
อย่างไรก็ดี
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเมืองอัจฉริยะยังไม่สามารถนำมาใช้ในการรองรับได้มากนักและการใช้กฎหมายในการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะถือเป็นมิติใหม่ที่สามารถนำมาใช้ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
โดยรายงานนั้น
พบว่าการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะจะต้องวางแผนครอบคลุมผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่มีความสมดุลระหว่างการพัฒนาเมืองกับอุตสาหกรรม
และเลือกใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะตามประโยชน์ที่เกิดขึ้นมากกว่าการเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย
การสร้างความร่วมมือและการพัฒนาหุ้นส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะ
จะช่วยลดข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและปัญหาด้านการเงิน
ซึ่งส่งผลให้โครงการมีโอกาสประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
และการสนับสนุนเชิงนโยบายกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น
การจัดงบประมาณให้กับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย
การตรากฎหมายที่เอื้อกับภาคส่วนเอกชน และการให้ความรู้กับประชาชน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการ และการบริหารจัด
โดยกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา 3 ปีเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่รัฐ
หน่วยงาน เอกชน และประชาชน
สำหรับหัวข้อเรื่องการส่งต่อผู้กระทำความผิดภายหลังพ้นโทษ
(คืนคนดีสู่สังคม) มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ
เราศึกษามาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน
โดยมีการตั้งคำถามการศึกษาขึ้นว่า
ประเทศไทยจะกำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ
โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนขึ้นได้อย่างไร
โดยจากผลการศึกษา พบว่า
หลักการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดและรวมถึงการสงเคราะห์หลังปล่อยโดยอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคสังคมนี้
ได้รับการยอมรับในสากลว่าเป็นการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดอย่างบูรณาการและยั่งยืน
ดั่งที่ปรากฏอยู่ในข้อกำหนดแมนเดลลาและข้อกำหนดโตเกียว
แต่ทว่าพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง
พ.ศ. 2565 ของประเทศไทย กลับไม่ปรากฏมาตรการทางกฎหมายที่ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคสังคมหรือชุมชน
หรือแม้กระทั่งระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง
คงมีเพียงมาตรการกำกับติดตามผู้พ้นโทษใน 13 มาตรการ
ที่ให้กรมคุมประพฤติเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงหน่วยงานเดียวเป็นสำคัญเท่านั้น
นอกจากนี้
กฎหมายยังกำหนดให้สามารถนำเอามาตรการคุมขังผู้พ้นโทษมาใช้ได้อีกด้วย
โดยไม่ปรากฏมาตรการคั่นกลางในเชิงทางเลือกให้ใช้บังคับแก่กรณีแต่อย่างใด
ซึ่งจากการศึกษามาตรการการมีส่วนร่วมในการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในต่างประเทศนั้น
ปรากฏว่าตามกฎหมายของประเทศอังกฤษ
ได้รับรองให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ร่วมกับงานคุมประพฤติ
มาตรการให้โอกาสการทำงานและการเปิดเผยข้อมูลการต้องโทษจำคุกของผู้พ้นโทษต่อผู้ประกอบการเมื่อจะเข้าทำงานมาใช้อยู่ด้วย
ซึ่งเป็นมาตรการเชิงสังคมที่มีประสิทธิภาพอย่างเด่นชัด
ส่วนกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น
ได้รับรองมาตรการการควบคุมตัวโดยชุมชนหรือบ้านกึ่งวิถีมาใช้แก่กรณีเพื่อเป็นทางเลือกแทนการคุมขังได้อยู่ด้วย
สำหรับกรณีของประเทศญี่ปุ่น กฎหมายได้รับรองให้มี
กลุ่มประสานความร่วมมือระหว่างนายจ้าง
เข้ามารับผิดชอบในการประสานระหว่างผู้ประกอบการกับผู้พ้นโทษเพื่อให้ได้รับโอกาสการทำงานต่อไป
จากผลการศึกษาเห็นสมควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประเด็นทางกฎหมาย ดังนี้
1)
การรับรองโดยกฎหมายให้เกิดการมีส่วนร่วมระหว่างกรมคุมประพฤติกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ
2) การรับรองโดยกฎหมายให้เกิดการมีส่วนร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการ
โดยการจัดตั้งกลุ่มประสานความร่วมมือระหว่างนายจ้าง
เพื่อเข้ามารับผิดชอบในการประสานระหว่างผู้ประกอบการกับผู้พ้นโทษให้ได้รับโอกาสการทำงาน
และ 3) การรับรองให้มีมาตรการการควบคุมตัวโดยชุมชนหรือบ้านกึ่งวิถี
มาใช้บังคับเป็นมาตรการทางเลือกก่อนที่จะนำมาตรการคุมขังผู้พ้นโทษมาใช้บังคับต่อไป

หัวข้อเรื่องปัญหาการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ
มองเรื่องปัญหาน้ำท่วมที่มีมานานกว่า 70 ปี ตั้งแต่พ.ศ. 2485 และในปี
2565 ก็ยังคงมีปัญหาน้ำท่วมอยู่
ส่วนหนึ่งถูกมองว่าเป็นปัญหาจากโครงสร้างการกระจายอำนาจส่วนราชการในท้องถิ่น
โดยงานศึกษาวิจัยนี้จึงทำการศึกษาปัญหาการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการแก้ปัญหาอุทกภัย
โดยทำการศึกษาความเป็นมาและพัฒนาการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องทางด้านการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พบว่าประเทศไทยมีพัฒนาการในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
และอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป
ในปัจจุบันภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินปี พ.ศ. 2550
สามารถกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นได้ในระดับหนึ่ง
มีความอิสระในการบริหารพอสมควร แต่ยังคงมีปัญหาความอิสระด้านการคลัง
ซึ่งกระทบต่อทำให้มีข้อจำกัดการบริหารจัดการ
จากผลการศึกษานี้จึงมีข้อเสนอแนะให้มีกฎหมายรองว่าด้วยระเบียบวิธีการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยของท้องถิ่น
โดยมีส่วนหนึ่งของกฎหมายรองนั้นระบุที่มาและสัดส่วนของงบประมาณที่ท้องถิ่นพึงต้องใช้
หรือใช้ได้
รวมทั้งวิธีการและแหล่งสนับสนุนทางงบประมาณหากรายได้จากการจัดเก็บภาษีของท้องถิ่นไม่เพียงพอ
ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถทรัพยากรบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการบริหารทั้งส่วนท้องถิ่น
ส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค
ในเรื่องที่ 4 นั้น หัวข้อเรื่อง
การแสวงหาพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ในชั้นพนักงานสอบสวน
มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ
มีการศึกษาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการแสวงหาพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ในชั้นพนักงานสอบสวน
ตลอดถึงอุปสรรคที่เกี่ยวในการรวบรวมพยานพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ชั้นพนักงานสอบสวน
จากการศึกษาพบว่าการรวบรวมพยานหลักฐานชั้นพนักงานสอบสวนยังขาดกฎหมายที่สนับสนุนในการทำงานโดยเฉพาะในการรวบรวมพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์
ทางคณะผู้ศึกษาจึงเสนอแนะให้พนักงานสอบสวนสามารถเข้าถึงสถานที่หรืออุปกรณ์ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานและควรพัฒนาบุคลากรด้านการสอบสวนให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่อไป
และเรื่องสุดท้าย หัวข้อที่ 5 เรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
มีประเด็นที่น่าสนใจคือเพื่อศึกษาปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย
และเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย
โดยทำการสืบค้นข้อมูลจาก ตำรา หนังสือ วารสารทางวิชาการ
รายงานการวิจัย เอกสารทางวิชาการต่างๆ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนข้อมูลจากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแล้วนำข้อมูลต่างๆ
ที่สืบค้นได้มาจัดระเบียบข้อมูลและทำการวิเคราะห์โดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา
(Content Analysis)
ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้ทั้งความหมายทางภาษาและความหมายทางความรู้สึกหรือนัยที่แอบแฝงอยู่
จากการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ
และด้านการศึกษา
จึงนำข้อมูลมาทำการวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว
สามารถสรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะดังนี้ โดยพบว่า
มีความเหลื่อมล้ำในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
มีปัญหาเกิดขึ้นในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ด้านเศรษฐกิจ
มีปัญหาในระบบทุนนิยมมีความได้เปรียบมากและมีระดับช่องว่างความห่างระหว่างคนรวยกับคนจนมาก
และด้านการศึกษา
ซึ่งผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย
ในด้านการเมือง
รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชน
ในด้านเศรษฐกิจ
รัฐต้องกำหนดนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาการจ้างงาน
ความยากจน การจ้างแรงงานทุกส่วนให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ในด้านการศึกษา รัฐต้องกำหนดมาตรการทางกฎหมายหรือแรงจูงใจ
เพื่อให้คุณภาพการจัดการศึกษาทุกระดับเป็นไปอย่างมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้รัฐต้องส่งเสริมการฝึกอบรมให้แก่ผู้ว่างงานเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้
รวมถึงต้องสร้างจิตสำนึกให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม.
คุณกำลังดู: หลักสูตร วทน.2 เปิด 5 รายงานวิชาการ เสนอแนวทางแก้ปัญหาระดับประเทศ
หมวดหมู่: ภูมิภาค