ค่าเงินบาทวันนี้ 14/3/66 เปิดที่ระดับ 34.57 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.57 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.60 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 34.57 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.75 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย
ระบุ ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.57 บาทต่อดอลลาร์
แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.60
บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาท ประเมินว่า
การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น
ส่วนหนึ่งมาจากการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
อนึ่ง มองว่า ในวันนี้ ค่าเงินบาท (รวมถึงเกือบทุกสินทรัพย์)
มีความเสี่ยงที่จะผันผวนหนัก โดยเฉพาะในช่วงที่
ผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
ในวันนี้ นอกจากนี้ ความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ
ซึ่งล่าสุดได้สร้างความกังวลต่อระบบธนาคารในหลายภูมิภาค
ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาด
โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง
และมีโอกาสที่จะเห็นแรงขายหุ้นไทยเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้
การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ทั่วโลก
ก็อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายบอนด์ไทยได้เช่นกัน ซึ่งประเมินว่า
ในช่วงระหว่างวัน ก่อนที่ตลาดจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบ 34.45-34.75 บาทต่อดอลลาร์
โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงได้บ้าง แต่มองว่า เงินบาทจะไม่ได้อ่อนค่าหนัก
เพราะยังพอมีแรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำอยู่
หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้าน 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ในช่วงนี้ มองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง
(ค่าเงินบาทผันผวนในระดับ 9%-10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10
ปี ที่ผ่านมาที่ระดับ 5% เป็นอย่างมาก) ทำให้มองว่า
ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.75 บาท/ดอลลาร์
(ก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนหนัก
โดยผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงและเดินหน้าเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ
อาทิ Citi -7.5%, Well Fargo -7.1%, Bank of America -5.8%
ท่ามกลางความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ
หลังการปิดตัวลงของธนาคาร Silicon Valley Bank แม้ว่าทางการสหรัฐฯ
และเฟดจะออกมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี
ความกังวลต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ ดังกล่าว
ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่า
เฟดอาจไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ (จาก CME
FedWatch Tool ตลาดให้โอกาสถึง 35%)
และการขึ้นดอกเบี้ยอาจแตะระดับสูงสุดไม่เกิน 5.00%
ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth
ต่างปรับตัวขึ้น (Microsoft +2.1%, Amazon +1.9%, Apple +1.3%)
ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สามารถปรับตัวขึ้นราว +0.45% ในขณะที่
S&P500 ปิดตลาด -0.15%
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลงหนักกว่า -2.42%
ท่ามกลางความกังวลว่าปัญหาสภาพคล่องของระบบธนาคารในสหรัฐฯ
อาจเกิดขึ้นกับบรรดาธนาคารยุโรปได้เช่นกัน
ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร (UBS -7.7%,
Intesa Sanpaolo -6.1%, Santander -5.7%)
เพื่อลดความเสี่ยงต่อพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้
แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดกอเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
ในสัปดาห์นี้ ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้ากลับเข้ามาถือหุ้นเทคฯ
หรือ หุ้นสไตล์ Growth (Kering -4.1%, ASML -2.2%, Adyen -1.7%)
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ
และการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ปรับตัวลงต่อเนื่องจนเกือบแตะระดับ 3.40%
ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.56%
ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ได้สะท้อนถึงความผันผวนในตลาดบอนด์ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งนี้
คงคำแนะนำเดิมว่า
ผู้เล่นในตลาดควรรอทยอยเข้าซื้อบอนด์ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
และอาจขายทำกำไรในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง
มากกว่าจะไล่ราคาซื้อ
เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดนั้นยังไม่จบหรือทิศทางดอกเบี้ยนโยบายก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน
เงินดอลลาร์โดยรวมอ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก
แม้ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง
แต่ผู้เล่นในตลาดก็เลือกจะถือทองคำ หรือ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่าจะถือเงินดอลลาร์
โดยเฉพาะในจังหวะที่ผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า
เฟดอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมที่จะถึงนี้ ทำให้ล่าสุด
ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 103.7 จุด อย่างไรก็ดี
คาดว่า เงินดอลลาร์จะแกว่งตัว Sideways
และมีโอกาสผันผวนสูงในช่วงตลาดทยอยรับรู้ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI
ของสหรัฐฯ ในวันนี้ ส่วนในฝั่งราคาทองคำ
การย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลาง
ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ
(สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.)
พุ่งขึ้นทะลุโซนแนวต้านที่ประเมินไว้ สู่ระดับ 1,917 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ซึ่งมองว่า
อาจมีผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำได้บ้าง
และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI
สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงเวลา 19.30 น.
ตามเวลาประเทศไทย โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า
โมเมนตัมของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI
ยังคงอยู่ที่ระดับ +0.4%m/m หรือคิดเป็น +6.0%y/y และ +5.5%y/y
ตามลำดับ ซึ่งประเมินว่า หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI
เป็นไปตามที่ตลาดคาดหรือน้อยกว่าคาด
และเมื่อคำนึงถึงปัญหาในระบบธนาคารสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น
จากการปิดตัวลงของธนาคาร SVB
ก็ยิ่งทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% แต่ประเมินว่า
ถ้าปัญหาในระบบธนาคารสหรัฐฯ ไม่ได้น่ากังวลมาก
เฟดก็อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนแตะระดับ 5.50%
เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อให้สำเร็จ และในกรณีที่ อัตราเงินเฟ้อ CPI
เร่งขึ้นสูงกว่าคาด เช่น +0.5%m/m ก็ประเมินว่า
เฟดอาจเลือกทยอยขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ +0.25% ตามเดิม
มากกว่าจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย
จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าปัญหาในระบบธนาคารสหรัฐฯ นั้นไม่ได้น่ากังวลมาก
ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการประเมินและติดตามสถานการณ์
และหากอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้ชะลอลง คาดว่า
เฟดก็สามารถที่จะปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้นได้ในการประชุมครั้งถัดๆ
ไปได้ หลังประเมินความเสี่ยงในระบบธนาคารเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลกระทบจากการปิดตัวลงของธนาคาร
Silicon Valley Bank (SVB) ว่าจะส่งผลต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ
และระบบธนาคารในภูมิภาคอื่นๆ หรือไม่ หลังจากที่ล่าสุดทางการสหรัฐฯ
และเฟดได้ออกมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง ซึ่งประเมินว่า
อาจช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Bank Run
และจะช่วยทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ลุกลามจนทำให้ระบบธนาคารสหรัฐฯ
มีปัญหารุนแรงได้
คุณกำลังดู: ค่าเงินบาทวันนี้ 14/3/66 เปิดที่ระดับ 34.57 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
หมวดหมู่: ข่าวเศรษฐกิจ/ธุรกิจ