ค่าเงินบาทวันนี้ 2/3/66 เปิดที่ระดับ 34.69 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ะดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.85 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย
ระบุ ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.69 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น
จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.78 บาทต่อดอลลาร์
โดยแนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า
การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมานั้น
มาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ที่สอดคล้องกับการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินฝั่งเอเชีย
รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ นอกจากนี้
การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทยังได้แรงหนุนจากการขายทำกำไร รวมถึง
Stop loss สถานะ Long USDTHB (มองเงินบาทอ่อนค่า)
ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนอีกด้วย
ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
แต่ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่
อย่างน้อยจนกว่าตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด
ทำให้ มองว่า
เงินบาทจะยังคงไม่กลับตัวมาเป็นฝั่งแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจนและยังคงแกว่งตัว
Sideways Up อย่างไรก็ดี ในวันนี้
เงินบาทอาจยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง
หากรายงานยอดการส่งออกและการนำเข้าของกรมศุลฯ สะท้อนว่า
การขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นนั้น
ส่วนใหญ่มาจากการนำเข้ายุทธปัจจัยเพื่อใช้ในการซ้อมรบ Cobra Gold
นอกจากนี้ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนออกมาสูงกว่าคาด
และยังคงหนุนให้เงินยูโร (EUR) ทรงตัวหรือแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
ก็อาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
หรือช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้
ในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง
สะท้อนผ่านกรอบค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาซึ่งกว้างไม่น้อยกว่า 50
สตางค์ภายในวัน ทำให้มองว่า
ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.85 บาทต่อ
แม้ว่ารายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ
ในเดือนกุมภาพันธ์ จะปรับตัวขึ้นน้อยกว่าคาด สู่ระดับ 47.7 จุด
และยังคงสะท้อนภาวะหดตัวต่อเนื่องของภาคการผลิต (ดัชนี ต่ำกว่าระดับ
50 จุด) ทว่าหากพิจารณาในรายละเอียดจะเห็นได้ว่า ดัชนีด้านราคา (Price
Index) กลับเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 51.3 จุด
จากก่อนหน้าที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
สะท้อนแนวโน้มราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้นในอัตราเร่ง
ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ
อาจชะลอตัวลงได้ช้าและจะส่งผลให้เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง
ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ความกังวลดังกล่าวได้ส่งผลให้หุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth
ต่างปรับตัวลดลงต่อ ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.66% ส่วน
ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.47%
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.74%
ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป
(ECB) หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของเยอรมนี ยังคงอยู่ที่ระดับ 8.7%
สูงกว่าที่ตลาดคาด
(สอดคล้องกับรายงานอัตราเงินเฟ้อของทั้งฝรั่งเศสและสเปนที่รายงานก่อนหน้า)
อย่างไรก็ดี
ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเหมืองแร่
รวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมบ้าง หลังรายงานดัชนี PMI
ล่าสุดของจีนออกมาดีกว่าคาดพอสมควร
สะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์
ความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด
ซึ่งล่าสุดสะท้อนผ่านโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.75%
ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 40% รวมถึงโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแตะ 6.00%
ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% (จาก CME FedWatch Tool) ได้ทำให้บอนด์ยีลด์
10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 4.00% อีกครั้ง ซึ่งโซน
4.00% ถือได้ว่าเป็นแนวต้านสำคัญของบอนด์ยีลด์ 10 ปี
ทำให้ต้องจับตาใกล้ชิดว่า
บรรดานักลงทุนจะกลับเข้ามาซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์
ปรับตัวสูงขึ้น ได้อย่างที่ได้ประเมินไว้หรือไม่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง
ตามการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินฝั่งเอเชีย รวมถึงสกุลเงิน
Commodity-related อย่าง เงินออสเตรเลียดอลลาร์ (AUD) และเงินยูโร
(EUR) หลังรายงานดัชนี PMI ของจีนออกมาดีกว่าคาด และอัตราเงินเฟ้อ CPI
ของเยอรมนีก็มาออกมาสูงกว่าคาด อย่างไรก็ดี
เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมารีบาวด์ขึ้นได้และแกว่งตัว sideways โดยล่าสุด
ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 104.4 จุด
หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด
อีกครั้ง ส่วนในฝั่งราคาทองคำ
การย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ในช่วงตลาดเอเชียเปิดทำการ ได้ช่วยหนุนให้
ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.)
สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จนแตะโซนแนวต้าน 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ได้ ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 1,843 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ในช่วงการซื้อขายในฝั่งสหรัฐฯ หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี
สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น อนึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว
อาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนที่ทยอยสะสมในโซนแนวรับ
เริ่มขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำบ้าง
ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจมีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง
(Initial & Continuing Jobless Claims)
ซึ่งหากยอดดังกล่าวยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
หรือทรงตัวใกล้เคียงระดับเดิม ก็จะยังคงสะท้อนแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ที่แข็งแกร่ง
ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่คลายกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
หากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสดใส
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ CPI
ของยูโรโซน ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยหากอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังสูง เช่น
8.2% ตามที่ตลาดประเมิน ก็จะยิ่งหนุนโอกาสธนาคารกลางยุโรป (ECB)
เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งผู้เล่นในตลาดล่าสุดคาดว่า ECB
จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate จนแตะระดับ 3.75%
ได้ในปีนี้ จากระดับล่าสุดที่ 2.50%
และในฝั่งไทย
ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้าในเดือนมกราคมของไทย
(ข้อมูลจากกรมศุลกากร กระทรวงพาณิชย์) หลังจากที่ในช่วงต้นสัปดาห์
ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานดุลการค้าที่ขาดดุลถึง -2.7
พันล้านดอลลาร์
ซึ่งการขาดดุลการค้าดังกล่าวได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าหนักจนแตะระดับ
35.35 บาทต่อดอลลาร์
โดยผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลยอดการส่งออกและนำเข้าของกรมศุลฯ
ว่า การขาดดุลการค้าดังกล่าวเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร เช่น
ยอดการนำเข้ายุทธปัจจัยสำหรับการซ้อมรบ Cobra Gold หรือไม่
เพราะหากเกิดจากการซ้อมรบ
ก็อาจเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวที่ไม่ได้สะท้อนภาพปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
คุณกำลังดู: ค่าเงินบาทวันนี้ 2/3/66 เปิดที่ระดับ 34.69 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น
หมวดหมู่: ข่าวเศรษฐกิจ/ธุรกิจ