ค่านิยมไทย กับ SEX ผ่านงานเขียน Saturday I’m in Love

ค่านิยมไทย กับ SEX ผ่านงานเขียน Saturday I’m in Love
  • คุยกับ "น้ำผึ้ง บัวเจริญ" เจ้าของผลงาน Saturday I’m in Love จากนักประชาสัมพันธ์ สู่ บทบาทนักเขียนนิยายอีโรติก
  • เรื่องเล่าอาชีพ "หมอนวดไทย" ในต่างแดน ณ เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย แม้จะมีกฎห้าม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบริการพิเศษ
  • เมื่อชีวิตไม่ได้อยู่ในกรอบเสมอไป คิดอย่างไรกับค่านิยมไทยที่พ่อแม่สอนให้รักนวลสงวนตัว

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปลดปล่อยจินตนาการ เมื่อคุณหลุดเข้าไปสู่โลกแห่งนวนิยาย สามารถดำดิ่งและดื่มด่ำไปกับอารมณ์ต่างๆ ผ่านตัวอักษรตามที่ผู้แต่งชักนำไป เช่นเดียวกับ "นิยายอีโรติก" ซึ่งเป็นนวนิยายประเภทหนึ่ง ที่มีการบรรยายอย่างละเอียด ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับฉากเซ็กซ์ การร่วมรักที่ชัดเจน

ซึ่งในบ้านเรา "นิยายอีโรติก" ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หลายคนคุ้นชื่อ จัน ดารา, แม่เบี้ย นวนิยายอีโรติกชื่อดังจากผลงานการเขียนชั้นครู ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และหลายปีที่ผ่านมา ล้วนมีนักเขียนนิยายอีโรติกหน้าใหม่เข้ามารังสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยขนบธรรมเนียมของสังคมไทย ที่แม้ปัจจุบันจะเปิดกว้างเรื่องทางเพศมากกว่าเดิม แต่เมื่อพูดถึงเรื่องเพศในที่สาธารณะก็ยังมีความเคอะเขิน ทำให้นิยายอีโรติกยังไม่เป็นที่แพร่หลาย

จากนักประชาสัมพันธ์ สู่บทบาทนักเขียนนิยายอีโรติก

ทั้งนี้ J. Mashare ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณน้ำผึ้ง บัวเจริญ เจ้าของผลงาน Saturday I’m in Love ถึงจุดเริ่มต้นในการตัดสินใจมาเป็นนักเขียนนิยายอีโรติก แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณน้ำผึ้งจะเคยมีผลงานเขียนมาแล้วอย่าง "ปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีก" หนังสือคู่กายมนุษย์เงินเดือน แต่ก็ถือว่าเป็นงานเขียนคนละแนวกัน ประกอบกับการมีอาชีพเป็นนักประชาสัมพันธ์ แต่ก็ยังทำให้หลายคนนึกไม่ออกว่า ทั้งสองอาชีพจะมาบรรจบกันได้อย่างไร

ทั้งนี้ คุณน้ำผึ้ง เล่าว่า ตนเองเป็นผู้หญิงที่โตมากับระบบทุนนิยม เต้นรำไปกับระบบนี้ เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคนหนึ่ง ที่เดินตามสายพานการผลิตของระบบบ้านเรา คือ ทำงาน มีเงิน เงินเดือนสูง จนรู้สึกเบิร์นเอาต์ หรือภาวะหมดไฟ จึงตัดสินใจออกจากอะไรเดิมๆ ไปหาประสบการณ์ใหม่ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย จึงได้นำประสบการณ์ที่ตัวเองและคนที่รู้จัก นำมาแต่งเติมเพิ่มสีสันจนเป็น "Saturday I’m in Love"

ก่อนจะเดินทาง มีการเตรียมตัววางแพลนว่าจะไปทำอะไร จึงไปเรียนบาริสต้า เรียนนวดไทยที่วัดโพธิ์ รวมไปถึงขั้นตอนการขอวีซ่าที่ใส่ไว้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ Saturday I’m in Love ไม่ใช่แค่นิยาย แต่เป็นไกด์สำหรับคนที่อยากไปต่างประเทศด้วย

เมื่อไปถึงเมลเบิร์น ก็วางแพลนว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ในช่วงแรกได้ไปทำงานร้านอาหารกับญาติ ไปช่วยเสิร์ฟ ซึ่งได้ฝึกภาษาจริงแต่ต้องยืนตลอด การรับออเดอร์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เงินไม่ดีมาก แต่ก็ไปช่วยเขา หลังจากนั้นได้ไปทำงานบาริสต้า ที่เราได้เตรียมตัวเรียนมาแล้ว แต่การรับเข้าทำงานค่อนข้างยาก เพราะทางร้านต้องดูวีซ่า หากระยะเวลาการอยู่ไม่นาน ทางร้านจะต้องมาเสียเวลาสอนด้วย ที่สำคัญเราต้องไปทำงานแต่เช้า

ต่อมาจึงลองไปเป็น "ครูภาษาไทย" ซึ่งเราไม่เคยเป็นครูมาก่อนด้วย การเป็นครูต้องมีการเตรียมการสอน ครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แต่ปัญหาคือโรงเรียนไม่ได้มีชั่วโมงสอนให้เราตลอด ทำให้มีเวลาว่างพอสมควร จึงตัดสินใจทำหมอนวดด้วย ซึ่งส่วนตัวเป็นคนชอบนวดอยู่แล้ว และเคยไปเรียนนวดมาจากวัดโพธิ์

อาชีพหมอนวดไทยในต่างแดน

คุณน้ำผึ้ง เล่าว่า อาชีพนวดที่เมลเบิร์นถือเป็นอีกอาชีพที่ได้รับความนิยมที่นักเรียนไทยทำ แม้ว่าที่เมลเบิร์นจะมีร้านนวดจีน นวดอินเดีย แต่จากการสอบถาม "นวดไทย" จะมีเซอร์วิสมายด์คือ บริการดี อ่อนหวาน ยิ้มแย้ม เอาใจใส่มากกว่า และสถานนวดของไทยก็มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ แต่ก่อนตัดสินใจไปเป็นหมอนวดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรื่องเดียวที่เรากังวลคือ เรื่องเซ็กซ์ ทราบข่าวว่าที่เมลเบิร์นส่วนใหญ่ชอบนวดแบบผสมผสาน ระหว่างนวดแบบอโรมา กับนวดรีดเส้น ลูกค้าต้องถอดเสื้อผ้า ดังนั้น ก่อนไปทำงานนี้จะต้องเลือกร้านที่ไม่มีนวดแฝง ซึ่งเรามีรุ่นพี่แนะนำร้านที่ไว้ใจได้มาให้

"อีกหนึ่งประการคือ ในเมื่อเราไปถึงที่โน่นแล้ว เราอยากรู้จักตัวเราเองว่า ถ้าเรา set zero ทั้งหมด ไม่หัวโขน ไม่มีแบล็กกราวด์ด้านการศึกษา ไม่มีอะไร ไปเร่ิมทำอาชีพที่ทุกคนดูแคลน เราจะได้รู้จักตัวเราเองมากขึ้นว่า เราจะไปเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างไร เราเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน หากกลับไทยคงไม่ได้ทำแน่ๆ เราอยากเห็นตัวเอง อยากกะเทาะเปลือกตัวเอง จึงลองทำอาชีพงานนวด แล้วมันเป็นประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่ได้ทำได้แล้ว"

คุณน้ำผึ้ง เล่าต่อว่า ช่วงแรกทางร้านเขาจะให้ทำงานง่ายๆ โดยงานแรกที่ได้เป็นลูกค้าผู้ชาย ต้องนวด 1 ชั่วโมง พอเริ่มงานเราก็รีบนวดเลย เพราะเรานวดแบบต้องจำสเตป แล้วลูกค้าแต่คนก็จะรีเควสไม่เหมือนกัน สิ่งที่กลัวในตอนแรกเมื่ออยู่หน้างานแล้วไม่กลัวเลย เพราะกลัวจำท่าไม่ได้มากกว่า กลัวว่าสเตปนวดผิดแล้วลูกค้าจะจับได้ ที่สำคัญคือกลัวนวดเกินเวลา เพราะร้านต้องใช้เตียง ถ้าเรานวดเกินเวลานั่นหมายถึงเงินของร้าน หากลูกค้ามาต่อคิวแล้วห้องไม่ว่างจะมีปัญหา แต่ก็ดีที่เจอลูกค้าใจดี

แต่บางครั้งเขาเห็นว่าเป็นมือใหม่ ก็มีคนลองถามถึงบริการพิเศษ ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะปั้นหน้าให้บริการอย่างไรต่อ เพราะเรารู้สึกอึดอัด แต่ก็พยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น แล้วลูกค้าก็ขอโทษก่อนไป ซึ่งที่นี่ทางร้านจะติดป้ายห้ามทำบริการพิเศษ แต่หากถามว่า มีแอบแฝงไหมก็มี แต่ที่นี่จะแอบทำยากกว่า เพราะหมอนวดไม่ได้ประจำที่ร้านนี้อย่างเดียว บางครั้งเวียนมาจากร้านอื่น เพราะหาคนทำไม่ทัน ก็อาจมีเรื่องแบบนี้ได้ ลูกค้าเองก็ไม่รู้ บางคนก็ถามไว้ก่อนเผื่อได้ จากที่เคยสอบถามเพื่อนหมอนวด ก็มีทำกันจริง เรื่องแบบนี้มีทุกที่ แต่เขาไม่ได้บังคับ ซึ่งเราเองก็ไปแบบถูกกฎหมายด้วย

ความรัก อาชีพหมอนวด มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร...

คุณน้ำผึ้ง กล่าวว่า บางครั้งเราไม่รู้ตัวเลยว่า ความรักจะเข้ามาหาเราตอนไหน จริงๆ แล้ว "Saturday I’m in Love" ไม่ใช่อีโรติก แต่เพราะมีฉากร่วมรักที่ต้องพูดเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วคือโรแมนซ์ เป็นเรื่องราวของความรักที่ไม่ทันได้รู้ตัว

ในส่วนของชื่อเรื่อง Saturday I’m in Love เกิดจากตัวเอกมาเจอกันในวันเสาร์ เพราะว่าตัวเอกผู้ชายมาเจอกับ "มิ้ม" ซึ่งเป็นตัวเอกผู้หญิงในวันเสาร์ โดยจะเลือกมิ้มเป็นคนนวดตลอด ซึ่งมิ้มเองก็สงสัยว่า ทำไมจึงเลือกตัวเอง ซึ่งมิ้มก็คิดว่าถูกเลือกเพราะฝีมือนวดดี แต่เมื่อเจอกันหลายครั้งก็เกิดความสงสัย จนเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์

แต่ที่ผ่านมา มิ้มใช้ชีวิตมาภายใต้วัฒนธรรมไทยที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม ไม่เคยคิดเรื่องความรัก ทำให้การรับมือเรื่องแบบนี้จึงน้อย ทั้งที่ประสบความสำเร็จมาทุกเรื่องแต่พอเจอเรื่องนี้ก็ไปไม่เป็นเลย

ฉะนั้น ตัวละครจะพาเราไปให้เห็นจุดเริ่มต้นความรู้สึกนึกคิด ความย้อนแย้งกับสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติกับสิ่งที่ถูกสั่งสอนมา จึงดูอีหลักอีเหลื่อไปหมดเลย ชีวิตควรที่จะเป็นโรแมนซ์ แต่ก็มีความทุกข์ เพราะติดกรอบอะไรบางอย่าง ตีกรอบตัวเองด้วยค่านิยมในเรื่องของเซ็กซ์

แม้ตัวเอกจะเติบโตมาในวัยที่สมควรแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่เคยพูดเรื่องแบบนี้เลย เมื่อมาเจอก็จะแปลก และในบางพาร์ตจะเห็นความน่ารำคาญของตัวละครด้วย แต่ในฉากร่วมรักจะราบรื่นมาก เพราะเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ เป็นเรื่องของธรรมชาติ สมองไม่ได้คิดถึงสังคม ความถูกผิด แต่พอตัวเอกกลับมาบ้าน แล้วเอากระบวนการเดิมๆ มาคิด ทำให้ชีวิตเดินต่อไม่ได้

คุณน้ำผึ้ง เล่าต่อว่า การเขียนนิยายอีโรติกค่อนข้างใช้จินตนาการ ใช้ทักษะทางด้านการเขียนในการบรรยายว่า เราต้องการความรู้สึกอะไรจากคนอ่าน เมื่อมาถึงฉากนี้ต้องทำให้เกิดการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ ต้องทำให้เขารู้สึกแบบนั้น แต่ทว่าการถูกปลุกเร้าทางอารมณ์ ต้องมีเบื้องลึก เบื้องหลัง ต้องมีที่มาที่ไป เพราะงานวรรณกรรมไม่ใช่การทำอะไรพรวดพราด ที่ทำลงไปโดยไม่มีเหตุผล เช่นเดียวกับ Saturday I’m in Love ที่ไม่ใช่แค่นิยายอีโรติก แต่เป็นเหมือนไกด์สำหรับคนที่มีแพลนไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ รวมทั้งพาไปรู้จักอาชีพนวดไทยในต่างแดน ซึ่งเป็นอาชีพของ “มิ้ม” ตัวเอกของเรื่อง ที่สะท้อนค่านิยมวัฒนธรรมของไทยกับเรื่องเซ็กซ์

"ค่านิยมไทยที่พ่อแม่สอนให้รักนวลสงวนตัว"

คุณน้ำผึ้ง ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า ค่านิยมให้รักนวลสงวนตัว เหมาะกับบริบทของสังคมไทย แต่ไม่ได้สอนต่อว่า ชีวิตมีความเป็นไปได้หลายรูปแบบ ไม่ได้มีแค่ดำกับขาว แต่อาจจะมีสีตุ่นๆ ขุ่นๆ มัวๆ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเจอกับอะไร เราไม่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างเดียว เมื่อไปโรงเรียน ไปที่ทำงานก็ต้องปรับตัว

ถามว่าค่านิยมในสังคมไทยเป็นอย่างไร ส่วนตัวเข้าใจ เพราะเราเติบโตมาภายใต้ระบบสังคมแบบนี้ แต่ความเป็นไปได้ในชีวิตมันเยอะ หากสมมติว่าสังคมไม่อนุญาตให้คุณได้ลองผิดลองถูก ไม่มีต้นทุนชีวิตมาให้ แล้วคุณเลือกที่จะลองผิดลองถูกเอง ไม่ทำตามขั้นตอนที่สังคมกำหนดมา ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยกตัวอย่าง วัยรุ่นจะมีอารมณ์ทางเพศมากที่สุดช่วงวัยที่เข้าโรงเรียน ซึ่งเราก็ถูกจับให้เข้าโรงเรียนในช่วงเวลานั้น แล้วถ้าตั้งท้องขึ้นมาคุณจะจัดการอย่างไร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระบวนการเลี้ยงดู ยิ่งในต่างจังหวัด ซึ่งตนก็เป็นคนต่างจังหวัด เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เรื่องจะถูกกระจายไปสามบ้านแปดบ้าน

หรือจริงๆ แล้ว มันคงเป็นบริบทที่ต้องทำไปอย่างนั้น การใช้ชีวิตก็มีสูตรสำเร็จที่ปลอดภัย คือ ต้องเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ต้องเรียนให้จบ เพื่อมาทำงานเป็นลูกจ้าง ถ้าทำตามนี้อย่างน้อยถือว่าสำเร็จแล้ว แต่เรานึกไม่ออกว่ายังมีความเป็นไปได้กว่านั้นอีกไหม

เมื่อพูดถึงเรื่องค่านิยม ในสมัยก่อนเราถูกสอนมาว่าต้องเป็นหมอ พยาบาล ตำรวจ บั้นปลายชีวิตจะไม่ลำบากแน่นอน แต่จริงๆ ความเป็นไปได้ยังมีอีกมากมาย จึงมองว่าค่านิยมสังคมไทย อาจจะเหมาะกับตัวสังคมก็ได้

แต่ถามว่าจะต้องเปลี่ยนไหม คุณน้ำผึ้ง กล่าวต่อว่า ท้ายที่สุดแล้วค่านิยมแบบนี้มันทำให้เรามองไม่เห็นมิติความเป็นไปได้ของชีวิต มันทำให้เราถูกตีกรอบความเป็นไปได้ ส่วนตัวจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย คิดว่าจุดเริ่มต้นน่าจะพูดถึงกระบวนการขัดเกลา ต้องสอนให้เขาคิดได้ คิดเป็น ชี้ให้เห็นทางว่า ถ้าตัดสินใช้ชีวิตแบบนี้แล้วจะมีทั้งดีและไม่ดีอย่างไร หากพลาดไปแล้ว ต้องรับผิดชอบอย่างไร หรือสิ่งที่สังคมบอกว่าไม่ดีนั้นใช่หรือไม่ และสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตต้องเกิดจากการคิด วิเคราะห์ของตัวคุณเอง.

คุณกำลังดู: ค่านิยมไทย กับ SEX ผ่านงานเขียน Saturday I’m in Love

หมวดหมู่: สังคม

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด