คนเกาหลีใต้ 2 ใน 3 อยากได้นิวเคลียร์สู้เปียงยาง แต่ผลเสียอาจมากกว่าดี
ชาวเกาหลีใต้กว่า 2 ใน 3 ส่วน สนับสนุนให้ประเทศพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง แต่นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่าผลที่ได้ตามมาอาจเสียมากกว่าดี

- โพลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดชี้ว่า ชาวเกาหลีใต้กว่า 2 ใน 3 ส่วน
สนับสนุนให้ประเทศพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง
เพื่อป้องปรามภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ
- ความคิดเรื่องการมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง
แพร่กระจายเป็นวงกว้างในหมู่ชาวเกาหลีใต้มากขึ้นเรื่อยๆ
จากความก้าวหน้าในการพัฒนาอาวุธของเกาหลีเหนือ
และความไม่เชื่อใจสหรัฐฯ
- นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า
หากเกาหลีใต้ตัดสินใจเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตนเอง
ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องสละทิ้งไป
ซึ่งอาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดในเกาหลีใต้ชี้ให้เห็นว่า ชาวโสมขาวกว่า 2
ใน 3
ต้องการให้ประเทศของพวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองเป็นของตัวเอง
เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือซึ่งพัฒนาขีปนาวุธและวิทยาการนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
โดยไม่ต้องรอความคุ้มครองจากสหรัฐฯ อีกต่อไป
ความคิดเรื่องการมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง
แพร่กระจายเป็นวงกว้างในหมู่ชาวเกาหลีใต้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
แม้แต่ประธานาธิบดี ยูน ซอก-ยอล
ยังเปรยถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ระหว่างการประชุมเจ้าหน้าที่กลาโหม
ขณะที่สื่อก็เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
สะท้อนถึงความกังวลของชาวเกาหลีใต้ที่เพิ่มมากขึ้น
เกาหลีใต้เคยพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองมาก่อนในช่วงทศวรรษที่
‘70s แต่ถูกสหรัฐฯ ยื่นคำขาดว่าจะพัฒนาต่อไปแล้วเดินต่อเองคนเดียว
หรือให้สหรัฐฯ ช่วยคุ้มครองด้วยคลังแสดงนิวเคลียร์ของพวกเขา
ซึ่งตอนนั้นโซลเลือกความคุ้มครองของสหรัฐฯ
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
ชาวเกาหลีใต้เริ่มไม่เชื่อมั่นว่าวอชิงตันจะมาช่วยพวกเขาหากเมืองในสหรัฐฯ
เสี่ยงถูกเกาหลีเหนือโจมตีด้วย
อย่างไรก็ตาม
หากเกาหลีใต้ตัดสินใจเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตนเอง
ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องสละทิ้งไป
ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า เป็นผลเสียมากกว่าผลดี

ทำไมชาวเกาหลีใต้อยากได้ระเบิดนิวเคลียร์
เมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา สถาบันเอเชียเพื่อการศึกษานโยบาย
ในกรุงโซล เผยผลสำรวจความคิดเห็นฉบับใหม่ซึ่งปรากฏว่า
ชาวเกาหลีใต้กว่า 64.3% สนับสนุนให้รัฐบาลพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่
33.3% คัดค้าน
นายโทบี ดัลตัน และนาย แวน แจ็กสัน เขียนบทความไว้บนเว็บไซต์
globalasia ระบุว่า
ความกลัวของชาวเกาหลีใต้ซึ่งผลักดันให้พวกเขาต้องการหันหน้าเข้าหาอาวุธนิวเคลียร์นั้น
เป็นสิ่งที่เข้าใจได้อย่างยิ่ง
เนื่องจากคลังแสงนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นความท้าทายที่น่าเกรงขาม
การบริหารจัดการความเสียงที่จะเกิดความขัดแย้งก็ซับซ้อนมากขึ้น
เกาหลีเหนือมีขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้และระดับข้ามทวีป
ซึ่งสามารถโจมตีเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ ได้
ทำให้เกิดสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการป้องปรามสำหรับทั้งโซลและวอชิงตัน
เพราะถ้าหากเกาหลีเหนือยิงนิวเคลียร์ใส่เกาหลีใต้ขึ้นมา สหรัฐฯ
จะกล้ามาช่วยหรือไม่
ถ้าเมืองของพวกเขาก็เสี่ยงถูกนิวเคลียร์โจมตีเหมือนกัน
ฝ่ายที่สนับสนุนอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีใต้เชื่อว่า
การมีอาวุธมหาประลัยชนิดนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของการป้องปรามในการเผชิญหน้ากับคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า
มีเพียงอาวุธนิวเคลียร์ที่จะสามารถป้องปรามอาวุธนิวเคลียร์ได้
และม่านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ไม่เพียงพอต่อการป้องปรามอีกต่อไป

เริ่มไม่เชื่อคำมั่นของสหรัฐฯ
ตามรายงานของสำนักข่าว บีบีซี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า
‘ที่ประชุมนโยบายนิวเคลียร์’ (Nuclear Policy Forum : NPF)
ซึ่งมีสมาชิกหลายคนเป็นนักการเมือง, นักวิทยาศาสตร์
และเจ้าหน้าที่ของกองทัพ จัดการประชุมแบบลับๆ
ขึ้นที่ชั้นใต้ดินของร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงโซล เพื่อหารือกันว่า
ทำอย่างไรเกาหลีใต้จึงจะสามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองได้
ที่ประชุม NPF ไม่เชื่อว่าสหรัฐฯ จะมาช่วยเกาหลีใต้
สมมติว่า คิม จอง-อึน ตัดสินใจโจมตีกรุงโซล ซึ่งทำให้สหรัฐฯ
ต้องเข้ามาแทรกแซงตามพันธสัญญา
แต่ถ้าคิมขู่จะยิงนิวเคลียร์ใส่แผ่นดินสหรัฐฯ
รัฐบาลวอชิงตันจะเสี่ยงให้เมืองอย่างซานฟรานซิสโกกลายเป็นซากเพื่อช่วยกรุงโซลหรือไม่?
พวกเขาเชื่อว่า ไม่
สอดคล้องกับผลสำรวจของ สถาบันเอเชียเพื่อการศึกษานโยบาย ที่ระบุว่า
ชาวเกาหลีใต้ 54.2% คิดว่าจะสหรัฐฯ จะไม่เสี่ยงมาช่วยเกาหลีเหนือ
หากดินแดนของพวกเขาเสี่ยงถูกโจมตี
แน่นอนว่า การมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตัวเองของเกาหลีใต้
ไม่ใช่สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการเลย แต่นโยบายของสหรัฐฯ
เองนี่แหละเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกาหลีใต้หันหน้าไปทางนั้น ในปี 2559
โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนั้น
กล่าวหาเกาหลีใต้ว่าพึ่งพาพวกเขาฟรีๆ
พร้อมขู่จะเรียกร้องให้รัฐบาลโซลจ่ายเงินค่าคุ้มครอง
มิฉะนั้นจะถอนทหาร
แม้ว่าเรื่องเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นจริงๆ
แต่คำพูดของนายทรัมป์ได้ปลูกฝังความกังวลในใจของชาวเกาหลีใต้ไปแล้ว
ว่าคำสัญญาของสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่ละคนเท่านั้น
และพวกเขาควรมีระเบิดนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง
“สหรัฐฯ จะไม่ใช้นิวเคลียร์ของพวกเขาเพื่อปกป้องเรา
ดังนั้นเราควรควบคุมการป้องกันของตัวเอง” นายคู ซอง-วุค อายุ 31 ปี
กล่าว
โดยเขาเปลี่ยนแนวคิดเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างที่เขารับราชการทหารในช่วงปี
2553
ที่เกาหลีเหนือยิงปืนใหญ่เข้าใส่เกาะของเกาหลีใต้จนมีผู้เสียชีวิต 4
ศพ “ตอนนั้นมันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ หน่วยต่างๆ
โทรศัพท์หาพ่อแม่และเขียนพินัยกรรมกันแล้ว”
ส่วนนาง ฮง อิน-ซู อายุ 82 ปี ซึ่งใช้ชีวิตวัยเด็กในยุคสงครามเกาหลี
กล่าวว่า เธอเคยอยู่ฝ่ายต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์
แต่ตอนนี้เธอเริ่มคิดว่า มันคือความชั่วร้ายที่จำเป็น “ประเทศอื่นๆ
ก็กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง
ดังนั้นฉันจึงไม่เห็นว่าทำไมเราจึงไม่ควรมีมัน
โลกกำลังเปลี่ยนไปแล้ว”
ขณะเดียวกัน ความไม่เชื่อมั่นระหว่างรัฐบาลก็กำลังเพิ่มสูงขึ้น
นักการเมืองของเกาหลีใต้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรจะเป็นตัวจุดชนวนให้สหรัฐฯ
กดปุ่มยิงนิวเคลียร์เพื่อช่วยพวกเขา และในข้อตกลงปัจจุบัน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ไม่จำเป็นต้องบอกผู้นำเกาหลีใต้ก่อนที่สหรัฐฯ
จะตัดสินใจเรื่องการยิงนิวเคลียร์ด้วยซ้ำ

มีนิวเคลียร์ อาจเสียมากกว่าได้
อย่างไรก็ตาม
การหันหน้าเข้าหาอาวุธนิวเคลียร์เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่มาก
นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า
ผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาอาจมากกว่าผลดี
นางเจนนี ทาวน์ จากคณะวิจัย 38 North
ไม่เชื่อว่าการมีอาวุธนิวเคลียร์จะทำให้เกาหลีเหนือเป็นภัยน้อยลง
“การมีอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้นไม่ได้ทำให้โลกปลอดภัยจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น”
พร้อมยกตัวอย่างสถานการณ์ในอินเดียกับปากีสถาน
ซึ่งยังมีปัญหากันมาจนถึงทุกวันนี้
และอาวุธนิวเคลียร์กลับทำให้ทั้งสองฝ่ายกล้าทำอะไรมากขึ้น
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้าตอบโต้
ระเบียบโลกในปัจจุบันตั้งอยู่บนหลักการของการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
และผู้ที่พยายามฝ่าฝืนระเบียบนั้น อย่างเช่น อิหร่านกับเกาหลีเหนือ
ก็กำลังเผชิญบทลงโทษรุนแรงจากหลายประเทศทั่วโลก
แม้นักวิเคราะห์จะเชื่อว่า เกาหลีใต้อาจไม่โดนการลงโทษแบบเดียวกัน
แต่อาจส่งผลให้สหรัฐฯ ฐานตัวจากพันธสัญญาป้องกันทางทหาร
ขณะที่จีนอาจตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตร
เสื่อมเสียชื่อเสียงระดับนานาชาติที่สร้างสมมา
และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจถึงขั้นถูกโดดเดี่ยว
กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวอีกแห่ง
นายดัลตันกับนายแจ็กสันระบุว่า
ภัยคุกคามที่เกาหลีใต้เผชิญถึงจะแก้ไขไม่ได้แต่ยังบริหารจัดการได้
เกาหลีเหนือจะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่จีนจะเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่กว่าและแข็งแกร่งกว่าอยู่เสมอ
การมีนิวเคลียร์ไม่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ รวมถึงความกังวลว่าจู่ๆ
สหรัฐฯ จะถอนความร่วมมือ
และการมีนิวเคลียร์แทนที่การสนับสนุนทางทหารจากชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
ไม่ได้
วิธีจัดการภัยคุกคามที่ดีที่สุดสำหรับเกาหลีใต้อาจเป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วหลายต่อหลายครั้งในอดีต
นั่นคือการใช้หลักการเจรจาอย่างระมัดระวังกับเกาหลีเหนือ
เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง
และลดความเป็นไปได้ของการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์
การรักษาความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ อย่างยิ่งยื่น
และเสริมสร้างความร่วมมือแบบไตรภาคีกับญี่ปุ่น
แม้จะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม
ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี
ที่มา : bbc , globalasia , japantimes
คุณกำลังดู: คนเกาหลีใต้ 2 ใน 3 อยากได้นิวเคลียร์สู้เปียงยาง แต่ผลเสียอาจมากกว่าดี
หมวดหมู่: ต่างประเทศ