“พรรคเพื่อไทย” พุ่งเป้าสร้างรายได้ “หมอมิ้ง” ชู “คิดใหญ่ ทำเป็น” พูดแล้วทำได้

“พรรคเพื่อไทย” พุ่งเป้าสร้างรายได้ “หมอมิ้ง” ชู “คิดใหญ่ ทำเป็น” พูดแล้วทำได้

เปิดนโยบายพรรคเพื่อไทยเน้นนโยบายหารายได้เข้าประเทศ ระดมเซียนเศรษฐกิจร่วมมือ หลังเปิดตัว “เศรษฐา ทวีสิน” อย่างเป็นทางการ แม่ทัพพร้อมเพรียงทั้ง “พันศักดิ์-ศุภวุฒิ-ปานปรีย์-กิตติรัตน์” ครบทีม “พรหมินทร์” ชี้นโยบายดีๆ ใครก็คิดได้ แต่พรรคเพื่อไทยพูดแล้วทำได้

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช หรือ “หมอมิ้ง” ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การจัดทำนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคเดียวที่พูดเรื่องการสร้างรายได้ พรรคอื่นๆ พูดเรื่องการจ่ายแจกอย่างเดียว ขณะที่ช่วงเวลานี้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้ต่ำว่าเป้า ยิ่งจะทำให้ติดอยู่ในวงจรแห่งความที่เป็นหนี้ ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคที่สกัดการแก้หนี้ บนหลักการบริหารประเทศ คือ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส โดยจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำปีละ 5% ใช้แนวคิดรดน้ำที่ราก เพื่อให้ต้นไม้งอกงามทั้งต้น

“ล่าสุดหลังมีการเปิดตัวนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นที่ปรึกษาหัวหน้า ครอบครัวเพื่อไทย จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยขึ้นมา โดยผมนั่งเป็นประธาน และมีที่ปรึกษาสำคัญ ประกอบด้วย นายเศรษฐา ทวีสิน นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ตลอดจนมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรองประธานกรรมการ ซึ่งแต่ละคนมีประสบการณ์เชี่ยวชาญสูงในแต่ละด้านเป็นที่รู้จักกันมาแล้ว”

ท่องเที่ยวสร้างรายได้ “ควิกวิน”

นพ.พรหมินทร์ กล่าวต่อว่า การฟื้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้น นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยที่จะใช้หาเสียงต้องมีวิธีปฏิบัติรองรับ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท นโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท นโยบายด้านการบริหารจัดการหนี้ของประชาชน นโยบายด้านเศรษฐกิจดิจิทัล นโยบายเขตธุรกิจใหม่ นโยบาย 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ Soft Power และนโยบายด้านการเกษตรแบบครบวงจร

“พรรคเพื่อไทยพูดเรื่องการสร้างรายได้ชัดเจน ขณะที่พรรคอื่นๆ พูดเรื่องการจ่ายแจกอย่างเดียว นโยบายดีๆใครก็คิดได้ แต่พรรคที่พูดแล้วทำได้ คือพรรคเพื่อไทย เพราะเคยทำมาแล้วและมีผลงานชัดเจนในอดีต เราถึงใช้คำหาเสียงว่า คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน”

สำหรับช่วงเวลานี้ นโยบายหารายได้ที่ทำได้แบบเร่งรัด (Quick Win) คือ การขยายประตูรองรับรายได้จากการท่องเที่ยว จึงวางเป้าในปี 2570 ต้องเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 3 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60 ล้านคน จากปี 2565 ที่เริ่มฟื้นตัวหลังโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 11 ล้านคน สร้างรายได้ 700,000 ล้านบาท ประเทศไทยต้องสร้างอีเวนต์ใหญ่ๆ ให้ไปถึงระดับโลก เช่น เทศกาลสงกรานต์ เดือน เม.ย. เทศกาลลอยกระทงเดือน พ.ย. และดึงเทศกาลระดับโลกมาจัดในไทย เช่น เทศกาลดนตรี เทศกาลศิลปะและวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียง

ขณะเดียวกัน ต้องพัฒนาประเทศไทยให้เป็น “ศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค” ต้องจัดตารางการบินให้มีการเชื่อมต่อสายการบินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สายการบินจากทั่วโลกมาต่อเครื่องที่ไทยได้ภายใน 2 ชั่วโมง เหมือนที่สนามบินดูไบทำได้ ขณะที่ตอนนี้การมาต่อเครื่องในไทยยังต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง นอกจากนี้ ต้องยกระดับสนามบินนานาชาติให้รองรับนักท่องเที่ยว 120 ล้านคน ลดกระบวนการตรวจเอกสารให้สะดวกรวดเร็ว และเจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อปลดภาระในการขอวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและยกระดับหนังสือเดินทางไทยให้เดินทางไปทั่วโลก

สร้างเขตธุรกิจใหม่นำร่อง 4 จังหวัด

ด้านนโยบายส่งเสริมการลงทุน นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีมุมมองที่แตกต่าง โดยมองว่าการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน เห็นมีแต่การพัฒนาที่ดินเพื่อขายในราคาแพง พรรคเพื่อไทยจึงมีนโยบายสร้างประเทศด้วยนวัตกรรมและดิจิทัลผ่านเขตธุรกิจใหม่ (New Business Zone) 4 แห่งเป็นพื้นที่นำร่อง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่

โดยเลือกจากความพร้อมทางด้านมหาวิทยาลัย สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมขับเคลื่อนเพื่อสตาร์ทอัพ และธุรกิจเอสเอ็มอี โดยจะต้องมีการออกกฎหมายใหม่ เพื่อเป็นการปลดล็อกปัญหาการทำธุรกิจ พร้อมจัดทำสิทธิประโยชน์ใหม่ให้สิทธิ โดยนำกฎหมายการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ มาปรับแก้ใหม่เป็น “บีโอไอพลัส” เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น

เพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่าภายใน 4 ปี

ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยยังกล่าวถึงการเพิ่มรายได้ของเกษตรกร ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากปัจจุบันภาคการเกษตรมีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศอยู่ที่ 8% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท ครอบคลุมประชากรถึง 40% และใช้พื้นที่ของประเทศในภาคการเกษตรกว่า 43% อีกทั้งรัฐบาลต้องสนับสนุนเงินปีละ 150,000-200,000 ล้านบาท เพื่อไปแก้ปัญหาต่างๆ แต่เกษตรกรยังก็เป็นหนี้เฉลี่ย 260,000 บาทต่อครัวเรือน

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยมีนโยบายเพิ่มรายได้เกษตรกรให้ได้ 3 เท่า ภายในระยะเวลา 4 ปี โดยช่วยหาตลาดให้ และให้เกษตรกรผลิตในสิ่งที่ตลาดต้องการ รวมทั้งเข้าไปช่วยปรับวิธีคิดเชิงธุรกิจ นำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตร เช่น เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในการเกษตร นอกจากนี้ จะยกระดับนโยบาย 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ (โอทอป) ไปสู่นโยบายดิจิทัล โอทอป สนับสนุนการขายผ่านช่องทางใหม่ๆ โดยเฉพาะการสร้างช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซ

สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง

นพ.พรหมินทร์กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า พรรคเพื่อไทยยังมีนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์ เพาเวอร์ เฟ้นหาศักยภาพของคนไทยทุกครอบครัว ครอบครัวละ 1 คน เพื่อมาส่งเสริมบ่มเพาะศักยภาพให้สร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดยสร้างศูนย์บ่มเพาะทักษะสร้างสรรค์ กว่า 800 แห่ง เช่น เชฟทำอาหาร นักออกแบบ นักร้อง นักแต่งเพลง นักกีฬา E-sport นักออกแบบมัลติมีเดีย ผู้ผลิตภาพยนตร์ เมื่อเห็นศักยภาพที่เด่นชัดจะได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาไปฝึกอบรมทักษะระดับโลกต่อในต่างประเทศ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะสร้างงานได้กว่า 20 ล้านตำแหน่ง สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยได้ถึง 200,000 บาทต่อครัวเรือน นอกจากนี้ ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งทางพรรคเพื่อไทยจะมีการเปิดตัวนโยบายเพิ่มเติมอีกด้วย.

คุณกำลังดู: “พรรคเพื่อไทย” พุ่งเป้าสร้างรายได้ “หมอมิ้ง” ชู “คิดใหญ่ ทำเป็น” พูดแล้วทำได้

หมวดหมู่: ข่าวเศรษฐกิจ/ธุรกิจ

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด